การศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่น กรณีศึกษา : เตาอั้งโล่ของหมู่บ้านช่างหม้อ
หมู่ 5 ตำบลคำน้ำแซบ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
กระบวนการปั้นเตา
1. การหาแหล่งดิน
(Clay source) มีความสำคัญต่อการผลิตเตาหุงต้มประสิทธิภาพสูงมาก
หากคัดเอาดินทั่วๆ ไป ที่มีคุณภาพไม่เหมาะสมมาผลิตเตา จะทำให้เกิดปัญหาเช่น
ปั้นขึ้นรูปได้ยาก เกิดการแตกร้าว ไม่คงทนเมื่อเผาเสร็จแล้ว จากการทดลอง
และประสบการณ์ ของช่างทำเตาตั้งแต่อดีต พบว่า ดินเหนียว ที่เกิดจาก
ตะกอนในที่ราบต่ำ หรือ ตามลำน้ำ เป็นวัตถุดิบที่ดีมากเหมาะสำหรับปั้นเตา
ลักษณะของดินที่นำมาปั้นเตา โดยทั่วไปนิยมใช้ดินเหนียวสีเทาเข้ม ในการปั้นเตา
เนื่องจากดินลักษณะนี้สามารถหลอมละลายได้ที่อุณหภูมิไม่สูงนัก นอกจากนั้น
ในดินเหนียว ยังประกอบด้วยสารอินทรีย์ ต่างๆ ทำให้เกิดรูพรุนในเนื้อเตา
เพิ่มความเป็นฉนวน ขนาดของเมล็ดดินเหนียว ก็ควรจะมีขนาดที่พอเหมาะ หาก
มีเมล็ดขนาดใหญ่เป็นส่วนมาก ก็มีโอกาส เกิดการแตกร้าวได้ง่าย
2. การเตรียมดิน
การหมักดินเหนียว ดินเหนียวที่จะนำมาใช้ต้องสะอาด ไม่มี เศษไม้ เศษหิน
มีแต่ดินเหนียวล้วนๆ ถ้าเป็นก้อนใหญ่ ก็ควรทุบให้ย่อยเป็นก้อนเล็กๆ
ก่อนหมักควรตากไว้ให้แห้ง อย่างน้อย 1 วัน แล้วนำลงบ่อหมัก
แช่ไว้ในน้ำ นานประมาณ 12-24 ชั่วโมง
จนดินอิ่มน้ำอย่างทั่วถึงเตรียมไว้ผสม การนวดและผสมดิน
นำดินที่หมักแล้วมานวดผสมกับแกลบดำ จะใช้เครื่องนวดจนเข้ากัน
โดยทั่วไปจะใช้ดินเหนียว 2 ส่วน ต่อขี้เถ้าแกลบดำ 1 ส่วน ขณะนวดผสมดินจะพรมน้ำตามไปด้วย เพื่อให้นวดได้ง่ายขึ้น ส่วนผสมที่เข้ากันดีแล้ว
ให้นำมากองเก็บไว้ อาจจะแบ่งเป็นก้อนๆ ขนาดพอเหมาะที่จะทำเตา หรือ แบ่งทีหลังก็ได้
แล้วปิดด้วยพลาสติกหากยังไม่ใช้ทันที เพื่อไม่ให้ดินผสมแห้งเกินไป ชาวบ้านช่างหม้อนิยมนวดดิน 2 ครั้งเพื่อให้ได้ดินที่ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกันเหมาะสำหรับการปั้นเตา
(การผสมแกลบดำเพื่อไม่ให้ดินที่จะนำมาปั้นเตาไม่เหนียวจนเกินไป
อีกทั้งยังมีส่วนช่วยระยายความร้อนเมื่อใช้งานเตา)แม่แบบพิมพ์ สำหรับทำเตา
ทำจากปูนซีเมนต์มีขนาดลดหลั่นกันไปตามขนาดของเตา
ใช้สำหรับทำตัวเตา ก่อนทำการปั้นและใช้แม่พิมพ์ ทุกครั้ง จะต้องโรย ขี้เถ้า
รอบๆแม่พิมพ์ก่อน เพื่อป้องกัน ดินเหนียวติดแม่แบบ และปั้นไม่ได้รูปทรง
3
การปั้นขึ้นรูปเตา นำดินที่ผ่านการนวดแล้วใส่ลงในแม่พิมพ์ภายนอกซึ่งวางอยู่บนแท่น
แล้วใช้มือตบปั้นขึ้นรูปเป็นทรงของเตาโดยให้มีความหนา และขนาด ภายในเป็นไปตามกำหนด
แล้วตกแต่งผิวด้านในเตา เมื่อได้ที่แล้ว ถอดแบบ นำเตาไปตากแดด ผึ่งลมให้แห้ง หมาดๆ
ประมาณ 1/2 วัน
4. การทำรังผึ้ง
นำดินที่นวดผสมแล้วใส่ลงในแบบพิมพ์ ใช้มือกดดินให้เต็มแบบ ใช้โลหะบาง ปาดเอาดินส่วนที่เกินออก
ทิ้งไว้ให้แห้งพอหมาดๆ ประมาณ 2-3 วัน แล้วใช้แม่แบบเจาะรู
เจาะตามรูปแบบที่ต้องการ จากนั้นนำตากแดดอีก 1-2 วัน แล้วนำไปเผาจนสุกเพื่อเพิ่มความแข็งแรง
5 การติดหูเตา นำเตาที่แห้งหมาดจากขั้นตอนการขึ้นรูปมาติดหูโดยนำดินที่ใช้สำหรับปั้นเตามาติดไว้บริเวณขอบของเตาที่แห้งหมาด
3 จุด (เพื่อทำเป็นเส้าเตา) เว้นระยะห่างให้เท่าๆกัน
ปล่อยผึ่งลมให้แห้งประมาณ 1/2 วัน
6.
การปาดตกแต่งและเจาะประตูเตา นำเตามาปาดตกแต่ง ปากเตา
เส้าเตา และเจาะช่องลมโดยใช้มีดปาดเตาในขั้นตอนนี้ต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษแล้วนำเตาที่ปาดตกแต่งแล้วไปตากแดด
จนแห้งสนิท ใช้เวลา ประมาณ 1-2 วัน
จะได้เตาที่พร้อมจะนำไปเผา
7. การเผาเตาหลังจากตกแต่ง
และตากแห้งแล้ว อาจจะตกแต่งสีเพื่อความสวยงาม แล้วนำมาเรียงเป็นชั้นในเตาเผา
การเผาเตาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
7.1 เผาแบบปิด
ใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง ใช้เวลาประมาณ 10-12 ชม.
7.2 การเผาเตาแบบเปิด ที่ใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิง ใช้เวลาประมาณ 10-12 ชม.
หลังจากนั้นทิ้งไว้ให้เตาเย็นตัว
ใช้เวลาประมาณ 12 ชม.แล้วค่อยนำออกจากเตา ตรวจสอบสภาพทั่วไป
แล้วนำไปบรรจุถังสังกะสีต่อไป
8 การนำเตาใส่ถัง
ใส่รังผึ้ง และ ยาฉนวน
8.1 การนำเตาใส่ถัง:
-
เตรียมถังที่จะใส่ เจาะช่องให้ตรงและพอดี กับช่องไฟของเตา
-
เอาดินเหนียวผสมขี้เถ้าแกลบ โดยใช้ดินเหนียว 1 ส่วน
ขี้เถ้าแกลบ 10 ส่วน ย่ำให้เข้ากันดีแล้ว
ยกเตาลงถังเอาดินผสมที่เตรียมไว้ใส่ลงด้านข้างเตา แล้วอัดให้แน่น
ที่ขอบเตาติดกับถังสังกะสี ใช้ปูนซีเมนต์ 1 ส่วน
ผสมทรายละเอียดร่อน 1 ส่วน ยาที่ขอบเตา และขอบช่องไฟ หน้าเตา
8.2ใส่รังผึ้งและยาฉนวน วางรังผึ้งให้ได้ระดับ ในตัวเตา แล้วนำดินที่ผสมไว้
(โดยใช้ดินเหนียว 1 ส่วน ขี้เถ้าแกลบ 5 ส่วน) ย่ำให้เข้ากันดีแล้ว ยาภายในเตา รอบๆ
บริเวณที่รังผึ้งสัมผัสกับผนังเตาทั้งด้านบนและด้านล่าง